38 : ไปทำบุญที่ศาลเจ้าจีน หลังตลาด ปากเกร็ด
37 : ผู้พิการปกติ ที่วัดหนองทาระภู จ.ชัยนาท
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2551 ที่ผ่านมา ผมกับเตี่ย กับม้า และอาจารย์ ได้ไปธุระสำคัญที่จังหวัดชัยนาท จึงถือโอกาสไปเยี่ยมหลวงปู่ที่วัดหนองทาระภู และผมก็ได้พบเห็นผู้พิการคนหนึ่ง จึงอยากนำความรู้สึกที่มี ได้เล่าสู่กันฟัง พร้อมกับนำภาพมาให้ดูด้วยครับ .....อ่านต่อ
36 : เข้าใจตัวเอง
ปรยาสตอรี่ -1 : เข้าใจตัวเอง
ขออนุญาตินำเรื่องราวเก่าๆ มาลงใหม่ เพื่อจัดให้เป็นหมวดหมู่ครับและตอนแรก ครั้งแรกที่เขียนใน winbookclub คือ เข้าใจตัวเอง เนื่องจากเป็นตอน แรกสุดเลย จึงต้องเป็น -1 ครับ
ผมอยากเป็นนักเขียนครับ เพราะหวังว่าจะเป็นแง่คิดให้กับผู้อื่นได้จึงลองเขียนเรื่องสั้นๆ มาให้ช่วยแนะนำครับ .....อ่านต่อ
38 : ไปทำบุญที่ศาลเจ้าจีน หลังตลาด ปากเกร็ด
พอดีว่า เจ้ายุ่งเป็นลูกบุญธรรมผมด้วยครับ
37 : ผู้พิการปกติ ที่วัดหนองทาระภู จ.ชัยนาท
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2551 ที่ผ่านมา ผมกับเตี่ย กับม้า และอาจารย์ ได้ไปธุระสำคัญที่จังหวัดชัยนาท จึงถือโอกาสไปเยี่ยมหลวงปู่ที่วัดหนองทาระภู และผมก็ได้พบเห็นผู้พิการคนหนึ่ง จึงอยากนำความรู้สึกที่มี ได้เล่าสู่กันฟัง พร้อมกับนำภาพมาให้ดูด้วยครับ
ภาพป้ายวัดครับ อยู่ด้านหน้าทางเข้า วัดหนองทาระภู อยู่ตำบลบ้านเชี่ยน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท

36 : เข้าใจตัวเอง
ปรยาสตอรี่ -1 : เข้าใจตัวเอง
ขออนุญาตินำเรื่องราวเก่าๆ มาลงใหม่ เพื่อจัดให้เป็นหมวดหมู่ครับและตอนแรก ครั้งแรกที่เขียนใน winbookclub คือ เข้าใจตัวเอง เนื่องจากเป็นตอน แรกสุดเลย จึงต้องเป็น -1 ครับ
ผมอยากเป็นนักเขียนครับ เพราะหวังว่าจะเป็นแง่คิดให้กับผู้อื่นได้จึงลองเขียนเรื่องสั้นๆ มาให้ช่วยแนะนำครับ
เข้าใจตัวเอง
ในอดีต ผมไม่ค่อยเข้าใจตัวเองซักเท่าไหร่ผมมักจะทำงานจนกลับดึก 3 ทุ่ม ทุกวัน จนสำนักงานต้องออกกฏ ให้อยู่ได้แค่ 6 โมงเย็น
มีความคิดเพียงอยากจะเรียนรู้มากๆ ศึกษาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับงาน จนเพื่อนว่าบ้างาน
(ผมเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ) ผมมักจะขับรถเปลี่ยนเส้นทางบ่อยๆ ทั้งในเวลางานเมื่อไปพบลูกค้า และกลับบ้าน
มีความคิดเพียงว่า ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรบนท้องถนน เราก็สามารถเปลี่ยนเส้นทางได้ทันที
ผมเลือกที่จะเป็น วิศวกรขาย มากกว่าจะเป็น วิศวกรโรงงาน ทั้งๆที่กำลังจะได้ไปฝึกงานที่ต่างประเทศ มีความคิดเพียงว่า ถ้าทำงานในโรงงานแล้วจะประสบความสำเร็จช้าเพราะต้องขึ้นกับหลายฝ่าย แต่การทำงานขาย ขึ้นอยู่กับตัวเราเป็นสำคัญน่าจะประสบความสำเร็จเร็วกว่า
ผมวางแผนชีวิตว่า จะต้องมีบริษัทเป็นของตัวเองตอนอายุ 30 ปีและเลิกทำงานตอนอายุ 40 ปี
เพราะอยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบที่สุดคือ เป็นวิทยากรหรือ เป็นครู เพื่อให้ความรู้กับผู้อื่น
ผมเป็นคนง่ายๆ สบาย ไม่เรื่องมาก มักให้ผู้อื่นเลือกก่อนเสมอ และก็แค่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เหลือ เพราะคิดว่า เหมือนเป็นการฝึกตัวเอง ให้ปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นไปและอยู่กับสิ่งนั้น เหตุการณ์นั้นๆ ให้ได้
ผมมักถูกแฟนอันเป็นที่รัก ถามว่า "ทำไมผมถึงทำอะไรให้เธอมากอย่างนี้"ผมตอบเธอทุกครั้งที่ถาม และบางครั้งอยู่เฉยๆ ก็พูด" ผมอยากทำทุกอย่างสำหรับเธอให้ดีที่สุด และถ้าวันไหนทำไม่ได้ ขอให้เข้าใจว่า อยากทำให้ แต่ทำไม่ได้จริงๆ"เพราะผมคิดเสมอว่า น่าจะเจอเธอเร็วกว่านี้ จะได้เป็นคนรักของเธอเร็วกว่านี้จะได้ปฏิบัติสิ่งดีๆให้เธอเร็วกว่านี้
ความรู้สึกแบบนี้ เกิดขึ้นกับผมตลอดเวลา รวมถึงการทำงาน การดำเนินชีวิต ต้องรีบรู้สึกว่าเวลามีน้อย ต้องรีบหาความรู้ตลอดเวลา ต้องเข้าใจในสิ่งที่ทำอย่างถ่องแท้ทำงานด้านการตลาดก็ต้องไปพบลูกค้า แต่ทำไมชอบคิดว่า น่าจะปิดการขายทางโทรศัพท์โดยไม่ต้องไปพบ หรือไปให้น้อยที่สุด
และแล้ว ปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2544 ผมก็ต้องพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันผมรถคว่ำ ตัวลอยออกมานอกรถทั้งๆที่รัด เซฟตี้เบลท์ ทำให้กระดูกคอหักทำให้ผมต้องเปลี่ยนสถานะจาก คนปกติ เป็น คนทุกพลภาพถาวร
ทำให้ผมเข้าใจตัวเองทันทีว่า ตลอดเวลาความรู้สึกแปลกๆ กับตัวผม เพราะร่างกายและสัญชาติญาณของผมรู้อนาคตนี่เอง ทำให้สิ่งต่างๆ ที่ทำมาโดยตลอด เตรียมพร้อมสำหรับสถานะใหม่ สถานะซึ่งต้องเพรียบพร้อมไปด้วย สติ ประสบการณ์ ความเข้มแข็งกำลังใจจากคนรอบข้าง ครอบครัว คนรัก เพื่อที่จะอยู่รอด ในสถานการณ์เมืองไทยปัจจุบันที่แม้แต่คนปกติยังลำบาก
ขอบคุณตัวเอง ที่มีการเตรียมตัว
ขอบคุณครับ
ปรยา
7/11/08
33 : ชีวิตคนไทย กับขวัญกำลังใจ ด้วยการบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เรื่องราวในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ผ่านมาเนิ่นนานมากแล้ว ผมเคยบนดอกกุหลายสีแดง จำนวน 13,999 ดอกไว้กับ "เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์" ที่พระรูปตรงโรงเรียนพาณิชย์พระนคร ซึ่งคราวนี้ ผมจะไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านไปอีกแล้ว เมื่อทุกอย่างลงตัวเหมาะสม ตามเวลานัดหมายกับร้านขายดอกไม้ (จากปากคลองตลาด) ตี 5 ครึ่งถึง 6 โมงเช้า (หลังจากที่แกหลงไปที่พระบรมรูปทรงม้าแทนครับ) และที่ต้องนัดกันซะเช้าขนาดนี้ เพราะว่าต้องหลีกเลี่ยงรถติด จากการนัดชุมนุมของฝ่ายพันธมิตรครับ
ภาพถ่ายนี้ เตี่ยอำนวยถ่ายให้ครับ เป็นพระรูป อนุสาวรีย์ที่อยู่บริเวณหัวมุมถนนติดกับ พาณิชย์การพระนคร สถานที่รอบๆ พระรูปของท่าน ก็มีการปรับปรุงใหม่หมด จากที่ผมเคยไปหาท่านเมื่อเกือบ 8-9 ปีก่อน และตอนนี้ดอกกุหลาบก็ถูกขนย้ายจากด้านข้างมาครบแล้ว พร้อมที่จะแก้บน ซึ่งม้าไพก็บอกว่า การแก้บนต้องก่อนเที่ยง (ในกรณีที่เป็นของกิน แต่ถ้าเป็นดอกไม้ก็ได้ทั้งวันครับ) และต้องไม่ใช่วันพระกับวันพุธ
และเราก็เรียงดอกกุหลายให้ท่านชมนะครับ ดังนั้นเวลามองไปจะเห็นเหมือนแค่ เป็ดมัดๆ มีหนังสือพิมพ์ห่อไว้เท่านั้น สุดท้ายก็หวังว่าจะมีคนมาลาท่าน เพื่อนำไปเป็นประโยชน์ต่อไป
ได้เวลากลับแล้ว จึงขอถ่ายรูปกับแม่ค้า (ชุดเขียว) และหลาน (ชุดแดง) ของแก ที่ขับรถมาส่ง ไว้เป็นที่ระลึก
อีกรูปครับ ให้หลานแกถ่ายให้ พอแก้บนเสร็จ
สิ่งแรกที่ได้เลยนะครับ คือความสบายใจ สุขใจ ที่ได้ทำตามที่เคยบนไว้ จากนี้ไปผมคงไม่บนอะไรที่ดูเป็นเรื่องราวขนาดนี้แล้วละครับ พยายามแก้นิสัยส่วนนี้อยู่ อาจจะมีบ้าง เวลาที่เรารู้สึกว่าต้องการกำลังใจเป็นพิเศษก็อาจจะมีบ้างครั้ง ที่นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ตั้งใจไปนมัสการแทนครับ และก็คงทำบุญที่สถานที่ตามสมควรครับ
ก่อนจะจบบทความ ก็อยากจะกล่าวถึงคำสอนของ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี ที่กล่าวไว้ในลักษณะที่ว่า อย่าบนบารสารกล่าว บุญบารมีของเรามีไม่พอ ก็ต้องมาบน คนเราต้องสร้างบุญ บารมีด้วยตนเอง ครับ หวังว่าบทความของผมคราวนี้คงเป็นกรณีศึกษาให้กับเพื่อนๆ ได้ไม่มากก็น้อย ในหลายมุมมองนะครับ
ขอบคุณครับ
ปรยา
7/6/2551
32 : โปรแกรมชีวิต
ล่าสุดที่ผมได้ออกไปข้างนอกมา เพื่อที่จะไปที่ธนาคารแถวเตาปูน มีเรื่องราวผ่านมาในสมองผมมากมายเหมือนทุกวัน ประกอบกับปัจจุบันผมมีคอมพิวเตอร์เป็นคู่รักไปซะแล้ว ผมต้องจ้องมองด้วยความตั้งใจตลอดทั้งวันเกือบ 15-16 ชั่วโมงต่อวัน ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นผู้หญิง ก็คงจะมองจนอายม้วนไปเลย
ระหว่างที่เดินทางกลับมาที่บ้าน ผมก็สังเกตุไปที่ท้องถนน เห็นรถจอด รถหยุด แซงกัน ขับเร็ว ขับช้า ส่วนผู้คนก็เดินกันขวักไขว่ไปมา บ้างหยุด บ้างวิ่ง มีเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย ผู้เพศไม่ตรง เห็นมอเตอร์ไซค์ จักรยาน ต้นไม้กำลังไหว ลมพัดถุงพลาสติกลอย
ผมลืมตาขึ้น ถามตัวเองว่า "ทำไมถึงเป็นไปอย่างนี้"
ทุกอย่างดูจะสัมพันธ์กันหมดทุกอย่าง
ทุกอย่างลงตัวไปหมด ความพอดีที่ลงตัว
ความวุ่นวายที่ดูลงตัว
ผลของการที่เราทำสิ่งใด ณ เวลาหนึ่ง
ย่อมมีผลกับอนาคตที่จะเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล
แต่บางครั้งอาจมีปัจจัยเสริม ที่ทำให้เกิดผลอีกอย่างหนึ่ง
ดูเหมือนมีทางเลือก
แต่ก็ดูเหมือนถูกกำหนด
ถูกกำหนดในหลายทางเรื่อง
ช่างเหมือนโปรแกรมสำเร็จรูป ในคอมพิวเตอร์
ที่สามารถตอบโจทย์เราได้อย่างน่าทึ่ง เสียจริงๆ
เสี้ยววินาทีนั้นเอง ในความคิดของผม
ดูทุกอย่างเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม
ชีวิตของผมอาจถูกกำหนดไว้แล้ว ใน "โปรแกรมชีวิต"
" โปรแกรมชีวิต ปรีดา ลิ้มนนทกุล "
31 : ความจริงของทาน ศีล ภาวนา ในมุมมองของข้าพเจ้า
อย่างที่บอกครับว่า ผมเห็นอะไรบางอย่างของความเป็นจริง ของทาน ศีล ภาวนา จากการไปทำบุญโรงทาน ที่วัดหนองทาระภู ผมเคยได้ยิน และได้รับการสั่งสอนมาว่า การเจริญภาวนานั้นได้บุญมากกว่า การถือศีล และการถือศีลก็ได้บุญสูงกว่า การให้ทาน สงสัยคงจะเป็นจริงแน่นอน
ระหว่างที่ผมนั่งบนรถเข็น ผมช่วยอะไรม้าไพกับเตี่ย ไม่ค่อยได้มาก นอกจากพยายามดูแลตัวเอง เพื่อไม่ให้เป็นภาระก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว ผมคอยถ่ายรูปเท่าที่ทำได้ คอยเอากระดาษปิดอุปกรณ์ต่างๆ เพราะแมลงวันเยอะ คอยบอกผู้มาทานอาหารว่า "หยิบผลไม้ฟรีครับ ไม่คิดตังค์"
ระหว่างที่ทุกคนทยอยมาหยิบผลไม้ไป ผมก็สังเกตุเห็นคน 2 ประเภท ประเภทแรกคือ มาหยิบผลไม้เพื่อไปทานและน่าจะทานหมดในงาน คือไม่ได้พกกลับบ้านด้วย หรือกินแต่พอดี แต่อาจจะสำหรับคนเดียว หรืออาจจะมาเป็นกลุ่ม เป็นครอบครัว
อีกประเภทคือ มาหลายรอบ มาถี่ๆ คือถี่มากๆ เอาไปเก็บซะเต็มถุงเลย ไม่ใช่ถุงเดียว หลายถุงด้วย เพราะผมมองตามไปถึงโต๊ะเลย (แนะนำว่า ถ้าจะอ่านบทความนี้ให้เข้าใจ และเห็นภาพ ควรกลับไปอ่านบทความที่ 29 ก่อนนะครับ) แล้วน่าเกลียดมากๆ ครับ คือที่นั่งอยู่กับโต๊ะและเก็บผลไม้ รวมถึงอาหารจากร้านอื่นๆ จะเป็นผู้ใหญ่ ส่วนเด็กเล็ๆ น่าจะแค่ 5-8 ขวบ จะเดินมาคอยหยิบ แต่งตัวมอมแมม แต่ไม่สกปรกอะไรมากมายนะครับ ก็คือประสาเด็กๆ ทำแบบนี้หลายกลุ่มมาก และก็มีบางคนที่มาหยิบเป็นผู้ใหญ่ก็มี แต่น้อย แค่ 2-3 คน แต่เด็กนี่สิ เกือบๆ 15 คนได้ มีอยู่ 3 คนที่มาบ่อยถึง 20-30 รอบ (พอดีผมว่างจัด เลยนั่งนับเอาไว้)
เป็นอย่างไรครับเพื่อนๆ ผมไปทำบุญกับม้าไพ และเตี่ยนะครับ แต่ตัวผมเองก็เริ่มคิดแล้วครับ ว่าคนเหล่านี้เอาเปรียบคนอื่น แทนที่จะแบ่งให้คนอื่นบ้าง ก็เอาไปเก็บไว้กับตัวเอง คือ มันคิดนอกเหนือจากการจะไปทำบุญแล้วทำให้จจิตใจสบาย มีความสุข และก็จำเป็นต้องพูดบางประโยคบ้าง เช่น
" ลิ้นจี่ หยิบได้แค่คนละพวงนะครับ แบ่งให้คนอื่นบ้างนะครับ "
" น้องหยิบบ่อยมากๆ เลย แบ่งคนอื่นบ้างนะ "
" อย่าใส่ถุงเลยครับ ให้หยิบไปก็พอครับ แบ่งคนอื่นบ้างนะครับ "
จนผมต้องปรึกษากับม้าไพและเตี่ยว่า เอายังไงดี ม้าไพและเตี่ยก็ให้คำตอบว่า "ช่างเขา เขาไม่มีกิน นานๆ ครั้ง ปล่อยเขาไป" ความรู้สึกของผมก็ดูจะปล่อยวางมากขึ้น สบายใจมากขึ้น เพียงแต่ว่า ความถูกต้องก็ยังคงต้องมีอยู่ในสังคมบ้าง คำพูดผมเปลี่ยนไปนิดหน่อย
" น้องมาหยิบบ่อยๆ ได้นะ พี่ไม่ว่า แต่อย่าเอาถุงมาใส่เลย "
" เอาไปเยอะๆ หลายถุง กินให้หมดนะครับ อย่าเอาไปทิ้ง "
" กินให้หมดนะครับ เสียดายนะครับ "
บางที่เตี่ยก็หยอกกับคนที่มาหยิบว่า " ลิ้นจี่พวงเดียวหยิบฟรี ถ้า 2 พวง 20 บาทนะ "
ส่วนม้าไพ ก็แซวว่า " ถ้าใครศิษย์ปู่ หยิบฟรี ถ้าไม่ใช่ 20 บาท "
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่มีคนมาบอกว่า มีใครก็ไม่รู้เอาฝรั่งไปเททิ้ง แล้วเอาถุงพลาสติกไปใส่กับข้าว ทำให้ม้าไพ มีโมโหเหมือนกัน ถึงกับต้องถามผู้ใหญ่บางคน และเด็กๆ ที่หยิบเยอะๆ ว่า " เอาถุงไปใส่กับข้าวรึเปล่า อย่าทิ้งนะ ตั้งใจเอามาให้กิน ของมันแพง "
เป็นอย่างไรบ้างครับ กับการ " ให้ทาน " ดูมันจะมีทุกอารมณ์เลยครับ ทั้งยินดี สบายใจ มีความสุข โมโห ต้องตักเตือน ต้องคิดทั้งเชิงบวก เชิงลบ ต้องขอร้องให้หลายๆ คนมาช่วยงาน ต้องขอบคุณ มีคนอยากได้ก็ต้องออกปากขอ มีผู้ให้ มีผู้รับ มีสงสาร มีการเอาเปรียบ มีความอยากได้ มีอีกหลากหลายอารมณ์ ที่มากมาย เกิดขึ้นภายใน 1 วัน มันเป็นสังคมเล็กๆ (หลักพันคนได้)
ผมคิดว่า มันก็วุ่นวายเหมือนกันนะครับ มันดูไม่สงบเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับการถือศีล หรือนั่งทำสมาธิ การให้ทาน ทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ เกิดการให้ การรับ เกิดความคิด เกิดการเวียนว่ายของเวรกรรมต่างๆ ที่อาจจะเชื่อมโยงให้นำไปสู่เหตุการณ์ต่างๆ ได้ เช่น คนกินข้าวในโรงทานเสร็จ ก็ต้องมีเศษอาหาร อาจเอาไปให้สุนัขกินอีกต่อหนึ่ง มีคนต้องมาล้างจาน คนนั้นอาจจะเจ็บป่วยอยู่ หรืออีกคนที่ล้างจานบ้านอยู่ไกล มาช่วยด้วยแรง อยากทำบุญ ทำให้กลับบ้านเย็นมาก ลูกหิวข้าว สามีโมโห ทะเลาะวิวาทกัน หรืออีกคนอาจจะเกิดอุบัติเหตุตอนกลับบ้าน ทำให้กลายเป็นคนพิการไป เยอะแยะที่จะเป็นไปได้ เป็นต้น
ผมเริ่มพอจะเข้าใจด้วยตัวเองแล้วว่า ทำไมการให้ทานนั้นถึงนับได้ว่าได้บุญน้อยที่สุด ในที่นี้ผมคง
ยังไม่มีความรู้มากพอเกี่ยวกับการถือศีล แต่อยากจะข้ามไปยัง การทำสมาธิ (รวมถึงเจริญภาวนาด้วย) น่าจะโอเคสุด เพราะเมื่อเรานิ่งเท่าไหร่ สงบเมื่อไหร่ ก็เหมือนเราหยุดการสร้างโอกาสในการสร้างเวรกรรมต่างๆ ซึ่งจะนำพาไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดต่อไปครับ (ความเข้าใจของผมคนเดียว)
บทความต่อไป ยังคงเกี่ยวข้องกับธรรมะ และการไปทำบุญโรงทาน เหมือนเดิม ซึ่งทำให้ผมมีมุมมองที่แตกต่างเรื่อง " พยายามทำบุญ จนเดือดร้อน บาปจริงหรือ " ลองติดตามกันนะครับ
ขอบคุณครับ
ปรยา
14/5/2551
30 : ความรู้สึกดีๆ กับการออกบูธ CO.2gather Fair
ก่อนวันงาน 1 วัน ผม ผึ้ง ม้าไพ และทาง พก. คือพี่แอ๊ด (ผอ.สุธิดา) และเจ้าหน้าที่อีก 3 ท่าน มาช่วยกันดูสถานที่ฃ่าเราควรจะจัดกันอย่างไร และเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ มากันเลย และก็ลองจัดบูธกันดู งานนี้ค่อนข้างฉุกละหุกไปนิด จึงจัดเอาตามอรรถภาพ เท่าที่มีอุปกรณ์ อาจจะดูโล่งไปบ้าง แต่ถ้าได้ประโยชน์กับสังคม สักนิดก็ยังดีครับ คิดแค่นี้ก็มีกำลังใจแล้วครับ
นี่แหละครับ ลักษณะบูธที่จัดเสร็จ ก็อาจจะดูโล่งอย่างที่ว่า เพราะเราไม่ได้ขายสินค้า แต่ว่าขายแนวคิด ลองสู้ๆ ดูครับ ต้องมีผู้เยี่ยมชมเป็นเจ้าของ หรือระดับผู้บริหารของสถานประกอบการบ้างละครับ และก็คงจะมีคนที่มีญาติเป็นผู้พิการบ้างเช่นกัน จะได้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายครับ
เหมือนเดิมครับ ผมไปที่ไหน ก็จะมี ผึ้ง-อณุวรรณ์ และม้าไพ ไปด้วยตลอด แท็คทีมกันครับ
เริ่มด้วยการแนะนำบูธติดกันทางด้านซ้าย (ถ้ามองเข้าหาบูธ) เป็นของบางจาก เก๋มากเลยครับ ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำบูธ แต่มีเอกสารและคัทเอาท์ต่างๆ แสดงให้ชมครับ
ต่อไปเป็นบูธตรงข้มเยื้องไปทางซ้าย (ถ้ามองออกจากบูธ) เป็นของ AIS ซึ่งนำเสนอเรื่อง Green Network
ลักษณะบูธก็เน้นสบายๆ มี pritty คอยประชาสัมพันธ์ที่บูธ 2 คน และเจ้าหน้าที่อีก 3 คนดูแล
Concept ของบูธก็เป็นการนำเสนอว่า AIS มีอะไรบ้างที่ทำเพื่อรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น ระบบสถานีฐานที่ใช้ระบบแสงอาทิตย์, E-Statement, บัตรเติมเงินที่ใช้กระดาษรีไซเคิล เป็นต้น

ทางด้านขวาของบูธ ถ้ามองออกจากบูธ จะเป็นเวทีย่อยของงาน CO.2gather Fair ที่มีการจัดโปรแกรมให้กลุ่มหรือมูลนิธิ NGO ต่างๆ มาแสดง มาอธิบาย มานำเสนอผลงาน หรือแนวทาง แนวคิด ที่ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม ผมพยายามนำภาพมาให้ดูกัน แต่ไม่ครบนะครับ เพราะบางช่วงเวลา ทางเราก็ไม่ว่างเหมือนกัน เพราะมีคนสนใจบูธเราพอสมควรครับ
งั้นผมก็ขอกล่าวถึงเฉพาะที่มีรูปมาโชว์ละกันนะครับ อย่างในภาพนี้น่าจะเป็น การแสดงถึงเจ้ากระต่ายน้อย ที่ต้องการจะนอน เพราะนอนไม่หลับ จากมูลนิธิเด็ก ครับ
กิจกรรมนี้ ผมจำได้เลยเป็นของชมรมดูนก ทำให้ผมมีความรู้ขึ้นมาบ้าง เกี่ยวกับเรื่องที่ไกลตัวพอสมควร
ส่วนการสัมภาษณ์คุณฮาร์ด และ บก.นสพ.เดลินิวส์ เกี่ยวกับการขี่จักรยานไปทำงาน ว่าทำไมถึงมาใช้จักรยาน ดูจะเป็นที่สนใจพอสมควร และทั้ง 2 ท่านก็แต่งตัวดูสบายๆ ตามคอนเซ็ปงานด้วยครับ จริงๆ แล้วผมขอคุณฮาร์ดถ่ายรูปด้วย แต่ว่าเอามาโชว์ไม่ได้ เพราะดันกดผิดเป็น clip VDO ครับ (ต้องขอโทษด้วย)
ผมลองนำภาพบรรยากาศในงานมาให้ดูละกันนะครับ เผื่อคนที่ไม่ได้ไปครับ งั้นภาพนี้เป็น "บูธในงาน 1" ละกันนะครับ

ส่วนบูธนี้เป็นบูธของกลุ่ม NGO ครับ
นี่ก็อีกบูธของกลุ่ม NGO ครับ รู้สึกกำลังแจกน้ำพริกฟรี คนเลยรุมกินโต๊ะครับ
และแล้วสิ่งที่คาดหวัง ก็เป็นความจริง ในภาพเป็นผู้จัดการของกลุ่ม GreenPeace ในไทย ที่มีน้องชายเป็นผู้พิการภายหลังคล้ายผม จึงสนใจเป็นพิเศษ และอยากเอาไปเล่าให้น้องชายฟังครับ
ในวันที่ 2 คือวันเสาร์ที่ 3/5/2551 ท่านผู้ช่วยฯ สุนีย์ (ที่ 2 จากซ้าย) และ ผอ.สุธิดา (ซ้ายมือสุด) ก็ได้แวะมาเยี่ยมที่บูธ ผมจึงได้มีโอกาส present โปรแกรมปฏิบัติการให้ท่านได้ดูครับ
ในภาพเป็น อาจารย์ธีระ ซึ่งเคยเป็นเจ้านายเก่าของผมเอง ในสมัยที่พวกเรายังอยู่ที่ บริษัท Berli Jucker จำกัด (มหาชน) เท่ากับว่า ผ่านมา 15 ปีแล้วครับ สัมพันธภาพ ยังคงเหนียวแน่นกันเหมือนเดิมครับ ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ที่มาเยี่ยมด้วยนะครับ ยังไม่ทิ้งกัน แม้ผมจะกลายเป็นผู้ทุพพลภาพแล้ว
ลืมซะสนิทเลย คนขวาสุดนั่น คือสมาชิกผู้พิการ ชื่อทรงวิทย์ หรือ โหงวสุดหล่อ (หล่อจริงๆ นะครับ) ของบริษัทฯ เราเองครับ
ภาพนี้ก็ได้ อาจารย์ธีระ ช่วยถ่ายให้ครับ เพื่อเป็นที่ระลึก ว่าพวกเราทั้ง 4 คนได้มาปฏิบัติหน้าที่ ในการร่วมกันช่วยนำเสนอแนวคิดใหม่ ในการหางานให้ผู้พิการ จากสถานประกอบการ มาถึงตรงนี้ ผมขอขอบคุณน้องโหงวเป็นพิเศษ ที่ได้สละเวลามาเป็นนายแบบ ทดลองวิธีการทำงานให้ผู้สนใจ ได้เข้ามาชมกัน และยังคอยช่วยอธิบายโปรแกรมให้อีกด้วย
สุดท้ายนี้ ผมขอขอบพระคุณทาง บริษัท เนชั่นมัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นอย่างสูงอีกครั้ง ที่ได้ให้โอกาสทางบริษัท PWDOM จำกัด ของเราได้ออกบูธ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
ขอบคุณครับ
ปรยา
16/5/2551
27 : มุมมองที่แตกต่าง จากความรู้สึกในความเป็นผู้พิการ
เริ่มจากผมได้รับการขวนให้เข้าร่วมประชุมกลุ่ม จากคุณเอิร์ธ (กลุ่ม IL Bangkok) ซึ่งผมสนใจที่หัวข้อการประชุม และผู้พูดเป็นชาวต่างชาติ จากอังกฤษ (ชื่อคุณ Mark) เพราะผมอยากรู้ถึงมุมมองจากชาวต่างชาติ และข่าวสารของประเทศเขาครับ มีการประชุมที่พื้นที่และอาคารกลาง ของหมู่บ้านกฤษดานคร 10 มีเพื่อนเข้าร่วมประชุมประมาณ 15-17 คน และผมไปสายด้วยครับ
.
คุณมาร์ค ได้พยายามปลูกฝังแนวคิดให้ผู้พิการ รู้จักเปลี่ยวแนวคิดทางการแพทย์ (ที่เกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง) ให้เป็นแนวคิดเชิงสังคม คือรู้จักปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม เพื่อการดำรงชีวิตของตนเอง จนนำไปสู่การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในระดับสังคมต่อไป รวมถึง ได้พูดถึง อนุสัญญาฯ ระหว่างประเทศ ที่มีการลงนามครบทั้ง 20 ประเทศแล้ว รวมถึงประเทศไทยด้วย และปลูกฝังแนวคิดให้ผู้พิการควรจะดูแลผู้พิการเอง ไม่ใช่ให้คนปกติมาดูแล
.
จากนั้นช่วงบ่ายมีการทำ work shop แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือเล่นละคร และเขียนภาพ ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นเทคนิคที่ดี เพราะการเล่นละคร เหมาะกับคนที่กล้าแสดงออก ส่วนกลุ่มเขียนภาพเหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออก ซึ่งตัวผมเองก็ลังเลอยู่พอสมควร แต่ไม่ใช่ว่าจะอยู่กลุ่มไหนนะครับ ดูว่าผมควรจะไปช่วยกลุ่มไหนดี ผิดคาดครับมีคนไปรวมตัวที่แสดงละครมากที่สุด คือส่วนใหญ่เลย ผมจึงเลือกไปกลุ่มเขียนภาพ ซึ่งเป็นงานถนัดของผม
สรุปกันได้ว่า กลุ่มเขียนภาพเลือกที่จะตอบโจทย์หลายแนวทาง จากโจทย์ข้อเดียวกัน เพราะเวลาเหลือน้อยเต็มที่ เนื่องจากต้องทำความเข้าใจกับเพื่อนๆ ให้เข้าใจตรงกันก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เกิดประโยชน์ในการประชุมกลุ่มแต่ในใจผมก็มีบางอย่างที่อาจจะเริ่มคิดแตกต่างบ้างครับ
.
จากนั้นก็เป็นการเริ่มแสดงละคร ซึ่งกล่าวถึง 2 เหตุการณ์ คือพ่อ-แม่-พี่ ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของลูกชายที่พิการกับแฟนที่เป็นคนปกติ ซึ่งเหตุการณ์แรกคือ ไม่ยอมให้อยู่ด้วยกัน แต่อีกเหตุการณ์ยังยินยอมให้อยู่ด้วยกันและอวยพรให้อดทนซึ่งกันและกัน มาถึงตรงนี้ก็เริ่มมีบางมุมที่ผมมองต่างมุม อีกเช่นกันครับ
และก็มาถึงกลุ่มที่วาดภาพที่อธิบายถึงคนพิการที่ตัวใหญ่ น้ำหนักมาก เมื่อไปถึงห้องเอ็กซ์เรย์ กลับไม่ได้รับบริการ เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่อุ้มขึ้นเตียง ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาเชิงการแพทย์ และสมาชิกกลุ่มตอนแรกก็มีมุมมองว่า ต้องมีเจ้าหน้าที่หลายคนมาอุ้มก็น่าจะดี ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นมุมมองเชิงการแพทย์เช่นกัน แต่หลังจากที่พวกเราได้รับคำแนะนำจากคุณมาร์ค และคุณเอิร์ธ ก็เริ่มเข้าใจมุมมองเชิงสังคม จึงร่วมกันเสนอแนวคิดแก้ไขเหตุการณ์ดังกล่าวเป็น 4 แนวทางคือ
- เสนอว่าเตียงเอ็กซ์เรย์ควรปรับระดับได้ เพื่อให้สะดวกในการใช้บริการ
- เสนอว่ารถเข็นของผู้พิการควรปรับเป็นเตียงได้ เพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้ายตัว
- เสนอว่าควรใช้เครื่องเอ็กซ์เรย์แบบเคลื่อนที่ได้มาให้บริการ
- เสนอว่าอาจจะมีเครื่องยกตัวผู้ป่วย เพื่อเข้าไปที่เตียงเอ็กซ์เรย์ได้
ต่อมาก็มีการพูดคุยสรุปประเด็นกัน มีการตอบคำถาม มอบของที่ระลึก และขอบคุณคุณมาร์คที่มาเป็นวิทยากรให้ทุกคน จากนั้นก็ออกไปถ่ายรูปกันที่ด้านนอก และก็แยกย้ายกันกลับ
มุมมองที่แตกต่างจากการเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ คงเป็นเรื่องที่เป็นเรื่องเดียวกันกับแนวคิดที่ได้รับการปลูกฝังจากคำบอกเล่าของคุณมาร์ค หรือแม้แต่แนวคิดเกี่ยวกับการดำรงชีวิตอิสระ คือ
- "ผู้พิการมีสิทธิเฉกเช่นคนปกติทั่วไป อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ควรถูกเลือกปฏิบัติ"
- "ผู้พิการไม่ต้องการให้คนปกติ เวทนา สงสาร เห็นใจ จ้องมอง หรือแม้เป็นคนพิเศษ ในสายตา"
- "ผู้พิการควรจะยอมรับตัวเอง และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเอง เพื่อการดำรงชีวิตอิสระในแบบที่เหมาะสมกับตัวเอง"
- "ผู้พิการไม่ควรถูกแยกออกจากสังคม ควรอยู่ร่วมกับครอบครัว และสังคม กับคนปกติ"
- "ผู้พิการควรได้รับโอกาสปกครอง ผู้พิการด้วยกันเอง เพราะน่าจะเข้าใจความพิการมากกว่าคนปกติ"
ผมก็เข้าใจและเคารพแนวคิดในลักษณะนี้อยู่แล้ว ในมุมมองคล้ายๆ กันนี้ ผมอยากจะขอลองนำเสนอแนวคิดส่วนตัวที่อาจจะดูคล้ายๆ แต่อาจจะมีความแตกต่างบ้างนิดหน่อยนะครับ คงเริ่มจากตัวอย่างของตัวผมเอง ที่ใช้ในชีวิตประจำวันครับ
- หลังจากผมเริ่มเป็นผู้ทุพพลภาพ ผมอาจจะมองข้ามความพิการรุนแรงที่ผมเป็นไปเลยก็ว่าได้ เพราะการที่ร่างกายผมเป็นแบบนี้ เป็นเพียงอุปสรรคในชีวิตเรื่องหนึ่งเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเกิดอุบัติเหตุจนขาหัก ก็ถือได้ว่าเป็นผู้พิการชั่วคราว ก็ต้องมีข้อจำกัดเกี่ยวกับขาข้างหนึ่งสัก 2-3 เดือน เป็นต้น ซึ่งแสดงว่าผู้ป่วยก็ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนการดำรงชีวิตใหม่ คือต้องหาวิธีการที่จะทำให้ตัวเองสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงกับรูปแบบเดิม ในระยะสั้นๆ ดังนั้นผู้พิการรุนแรง ภายหลังอย่างผม ก็เพียงแต่ปรับความคิดว่า เรามีข้อจำกัดเพิ่มขึ้น (ซึ่งอาจจะมากๆ สักหน่อย) และไม่ใช่ระยะเวลาสั้น แต่มันนานถึงตลอดชีวิตที่เหลือ ก็เท่านั้น
- จากนั้นเมื่อคิดได้ และดำรงชีวิตได้ ก็ถึงเรื่องทำงาน ตลอดเวลาที่ผมเป็นผู้ทุพพลภาพผมทำงานตลอด ผมมักได้ยินคำพูดของลูกค้าบ่อยๆ ที่ทราบเรื่องผมทีหลังว่าเป็นผู้ทุพพลภาพ เช่น "คุณปรีดา ไม่เคยมาเยี่ยมสำนักงานผมเลย ผมอยากพบคุณปรีดา" จนผมต้องบอก ลูกค้าเข้าใจและขอมาเยี่ยม หรือมาพบเองที่สำนักงาน และมักพูดทุกคนว่า "ร่วมงานกับคุณปรีดา คิดว่าเป็นคนปกติ ไม่คิดว่าพิการ เพราะผลงานหรืองานที่ทำก็ปกติ และดีกว่าบริษัทอื่น พูดคุยด้วยก็ไม่ได้สังเกตุอะไรได้เลยว่าเป็นผู้ป่วย" และผมก็มักพูดบ่อยๆ ว่า "ผมปกติดี ป่วยเพราะอุบัติเหตุ ร่างกานยและจิตใจแข็งแรงดีเหมือนคนทั่วๆ ไปครับ ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับการทำงาน"
- โดยส่วนตัวแล้ว เป็นเพราะว่าผมมีแนวความคิดส่วนตัวว่า
- ผมไม่อยากบอกว่าตัวผมพิการ เพราะทันทีที่ลูกค้าทราบ อาจตีค่า ความสามารถของผมต่ำทันที ทำให้ผมหมดโอกาสได้แสดงความสามารถ
- แต่เมื่อผมได้แสดงความสามารถแล้ว ผมเต็มใจที่จะบอกลูกค้า เพื่อสร้างความประหลาดใจว่าคนพิการสามารถทำได้ และทำได้ดีกว่าอีกหลายๆ บริษัท เพราะผมชอบคำว่า "คุณภาพ"
- ผมไม่ชอบมุมมอง หรือทัศนคติที่ คนทั่วไปจะมองว่าผู้พิการนั้นด้อยประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะช่วงต้นๆ ของการเป็นผู้ทุพพลภาพ ผมต้องผ่านความรู้สึกแบบนี้ตลอด จนเกิดแรงผลักดันมากมายในการทำงาน
- ผมคิดว่า ผมมีความสามารถ ผมแค่ทำงานมากกว่าเดิม หาเครื่องมือชดเชยกับสิ่งที่ขาดไป และต้องทำให้ได้เท่าเดิมหรือดีกว่า และไม่ต้องการสิทธิพิเศษอะไร เพียงแต่ต้องปิดบังข้อมูลช่วงแรกๆ เพื่อทำให้มีโอกาสเหมือนคนปกติ
- บางครั้งผมยังลืมตัว กลับมองสงสาร อยากช่วยคนพิการคนอื่น แสดงว่าผมคิดว่าผมปกติดี (แต่เดี๋ยวนี้ผมเปลี่ยนทัศนคตินี้แล้วนะครับ)
หลังการประชุมกลุ่ม ผมเห็นด้วยกับแนวคิดที่ผู้พิการควรอยู่ร่วมในครอบครัว และสังคม เช่นเดียวกับที่ผมดำเนินชีวิตอยู่ รวมทั้งถ้าเป็นไปได้ ณ ตอนนี้ เวลานี้ ถ้าผู้พิการที่พอมีอำนาจในระดับสูง สามารถปรับเปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลง หรือผลักดัน เรื่องบางอย่างได้ ก็ควรทำ เช่น นำตัวละครไปแทรกในบทเรียน ที่อาจทำให้เด็กยุคใหม่มีมุมมองว่า คนพิการ เป็นคนปกติ อยู่ร่วมกันในสังคมได้ฉันท์เพื่อน ไม่ด้อยค่า ด้อยประสิทธิภาพอะไร จากนั้นเด็กๆ เหล่านี้ก็จะโตขึ้น และมองการอยู่ร่วมกันของผู้พิการในสังคม เป็นเรื่องปกติ
แต่ผมกลับมีมุมมองที่ต่างกันเรื่อง การที่ผู้พิการรวมตัวกันที่จะเรียกร้องสิทธิ์ต่างๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะผมกลับเห็นว่า สังคมไทย เป็นสังคมที่ต่างจากประเทศอื่น ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมถูกสังคมเอาเปรียบอะไร เพราะผมอาจจะชดเชยสิ่งเหล่านั้นได้ ควรเรียกร้องแต่พอดี แต่ควรไปปรับที่แนวคิดให้คนรุ่นใหม่ดีกว่า เพราะ "ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก"
ยิ่งผู้พิการรวมตัวมากเท่าไหร่ ยิ่งกลุ่มผู้พิการเข้มแข็งมากเท่าไหร่ สังคมยิ่งมองผู้พิการเป็นกลุ่มๆ หนึ่งไปตลอด และผมยังคิดต่อไปอีกว่า "ผู้พิการไม่ใช่คนดีเสมอไป ผมหมายถึงบางคนอาจมีนิสัยส่วนตัวไม่ดี" ซึ่งอาจทำให้สังคมก็มองภาพรวมว่า ผู้พิการมีปัญหา เป็นตัวปัญหา บกพร่อง ดังนั้นถ้าตัวผู้นำกลุ่มคนพิการพยายามมากเท่าไหร่ เพื่อจะให้คนในสังคมคิดว่า "ผู้พิการเป็นคนปกติ" ผมกลับมองว่ายิ่งจะทำให้ถูกมองแยกออกไปจากสังคม มากขึ้นเรื่อยๆ
ขอย้ำอีกทีว่า เป็นความคิดของผมคนเดียวเท่านั้นนะครับ
จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนครับ ผมอาจจะยังอธิบายไม่ดีเท่าที่ควร ผมอาจจะขอเรียบเรียงแนวคิด และภาษาใหม่ ผมอาจต้องอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เพื่อจะได้เขียนบทความที่เข้าท่ากว่านี้ครับ
บทความนี้ยาวมากแล้ว คงต้องจบลงแค่นี้ก่อนนะครับ
ขอบคุณครับ
ปรยา 23/4/2551
