151: คำถามที่ตัวผมมักรู้จากคนที่ไม่ได้ถามเอง เมื่อ 6 เมษายน 2557

สวัสดีครับเพื่อนๆ สำหรับบทความตอนนี้ จากหีวเรื่องผมคิดว่า ผู้อ่านส่วนใหญ่ต้องเคยมีประสบการณ์แน่นอน เนื่องจากเรามักได้ยินคำถามจากคนที่ไม่ใช่คนตั้งคำถาม แต่อาจจะมาจากเพื่อนของเราที่รู้มา แล้วมาบอก หรืออาจจะเกิดเหตุการณ์ตั้งใจฝากมาถาม เลยเสียก็เยอะ และที่มีความคิดจะพิมพ์บทความนี้ก็เพราะว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องคิดเยอะมาก ทั้งเรื่องงานที่กำลังส่อเค้าว่า จะหยุดไม่อยู่ แบบที่ตัวผมเองยังตื่นเต้น น่าระทึกใจมาก แน่นอนว่าเมื่อเริ่มก็จะนำมาแบ่งปันกันเหมือนเดิม รวมถึงเรื่องที่กำลังทำอยู่ แล้วต้องคิดทบทวนมากมาย ซึ่งรวมถึงผู้คนหลากหลายที่มาเกี่ยวข้องมากมาย อีกทั้งเรื่องสำคัญอีกเรื่องในชีวิตที่ต้องทำวิทยานิพนธ์จบปริญญาโท ผมเปรียบเทียบเอาเองให้ตรงกับฤดูกาลที่กำลังดำเนินอยู่ นั่นคือ ชีวิตผมเหมือนอยู่ในฤดูพายุฤดูร้อน เลยครับ

ขอนำภาพนี้มาประกอบการพิมพ์บทความตอนนี้ เพราะอากัปกิริยานี้
ค่อนข้างตรงกับตัวเองเมื่อต้องคิดมากๆ คือ การประสานมือกัน และ
ดัดนิ้วไปด้วยควบคู่การทำกายภาพบำบัด ให้ตรงคอนเซ็ปต์ทำ 1 ได้ 2 ครับ

วันนี้ผมใช้เวลาคุยโทรศัพท์กับคนหลายคนเหมือนเช่นทุกวัน แม้ว่าจะเป็นวันอาทิตย์ เป็นอย่างนี้ละครับ สำหรับผมวินาทีนี้ไม่มีวันหยุด (เอ....แต่จริงๆ ก็หยุดมา 4 วันนะครับ พอดีเป็นไข้หวัดหนัก แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไอ คันคอ ร้อนมาก เหมือนข้างในร้อนไปหมด มีไข้ งง... เพราะไม่ได้เป็นมานาน) มี 1 คนที่ผมใช้เวลาคุย 1 ชม. ครึ่ง จึงอยากนำมาแบ่งปัน แต่คงไม่ได้แบ่งปันที่เนื้อหา ผมอยากแบ่งปันเรื่องความรู้สึกมากกว่า

สิ่งที่ผมได้จากการพูดคุยนั้นสำหรับผมแล้วมีคุณค่ามาก แม้ว่าผมจะคุยกับคนที่มีอายุน้อยกว่าหรือมากกว่าก็ตาม สิ่งแรกที่ผมได้ คือ เราได้เรียนรู้คนๆ นั้น มากขึ้นๆ และแน่นอนว่าการคุยทุกครั้งจะต้องมีเรื่องราวในการพูดคุย ทำให้เราได้เรียนรู้กับสิ่งใหม่ เช่น ปัญหาใหม่ๆ ที่ต้องแก้ไขร่วมกัน หรือบางสิ่งที่ผมอาจไม่เคยรู้มาก่อน หรือความลับ หรือความต่างทุกต่าง

ผมอยากแบ่งปัน 2 เรื่องครับ
  1. คือ ความรู้สึกที่ผมได้รับมาตลอดที่ดำเนินชีวิตหลังจากที่พิการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมีคนมากมายรู้สึกต่อผม หรือที่ผมรู้สึกต่อหลายๆ คน สิ่งสำคัญที่สุด คือ ผมต้องระลึกตลอดเวลาว่า ผมกำลังทำสิ่งใดอยู่ และยังคงต้องมุ่งมั่นที่จะฝ่าแรงเสียดทานบางอย่างต่อไป ความรู้สึกนี้มีกับตัวเองทุกวินาที ไม่เคยรู้สึกท้อ คอยบอกตัวเองว่า "เวลา" จะเป็นสิ่งสำคัญ การพิสูจน์บางสิ่งบางอย่าง ผมอยากแบ่งปันเพื่อนๆ ว่า บางครั้งเราอาจถูกมองว่า หัวแข็ง ดื้อ ไม่ฟังใคร แข็งกระด้าง ไร้ความรู้สึก เยือกเย็น หรืออาจะถูดตำหนิว่า ใจร้าย โหดร้าย ทำร้ายความรู้สึกหลายๆ คน ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่เป็นนักคิด นักต่อสู่ ต้องประสบพบเจอกับคำเขียนต่างๆ ที่ผมแบ่งปันแน่นอน ท้ายที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป ผมจะภูมิใจ ดีใจ ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับคนเดิมๆ ที่มีความคิดเปลี่ยนไป หรือเข้าใจในสิ่งที่เราทำ แน่นอนว่า หากมีใครสักคน หรืออาจจะเป็นกลุ่มคน ที่เดินมาหาเราแล้วบอกว่า พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่เราทำ ผมก็ยิ่งมีความสุขอย่างที่ไม่สามารถจะมีคำพูดใดมาเปรียบ เพราะบางครั้งคนใกล้ตัวอาจไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น สำหรับความรู้สึกแรกนี้ ผมอยากให้กำลังใจกับคนที่กำลังคิดทำสิ่งดีๆ บางครั้งอาจบอกใครไม่ได้ด้วยอีกต่างหาก คุณไม่ได้ต่อสู้อยู่คนเดียว ยังมีคนอีกจำนวนมากในโลกนี้ที่ทำอย่างคุณ อย่างน้อยก็มีผมหนึ่งคน ครับ
  2. สำหรับข้อ 2 อยากรวมๆ ถึงความรู้สึกที่มีต่อคน 2 กลุ่ม ที่ไม่น่าเชื่อว่ามีความคล้ายคลึงกันมาก หากมองเป็นภาพใหญ่ในทรรศนะของผม คือ ความมี และเป็นไป ในวุฒิภาวะ ของเกษตรกรไทยกับคนพิการ ซึ่งทั้ง 2 กลุ่ม ผมได้ทำงานในส่วนเข้าไปร่วมแก้ปัญหาให้ แต่กลับพบว่า คนทั้งสองกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่คิดถึงแต่ตัวเอง น่าเป็นห่วงอย่างมาก ความต้องการรับฝ่ายเดียวฝังรากลึก ไม่มองคนอื่น มองแต่สิ่งที่ตัวเองจะได้ ใครให้มากกว่า ไม่มองคุณค่าที่มีทั้งน้อยและมากจากผู้ช่วยเหลือ ซึ่งเรื่องนี้ผมเห็นภาพชัดเจนมาแล้วจากมหาอุทกภัยใหญ่ ปี 54 ณ ตอนนั้นผมแลผมคิดว่ามีคนจำนวนมาก โดยเฉพาะเหล่าอาสา ที่บริสุทธิ์ใจ ที่ลงพื้นที่ จะชินตากับความโลภของคนที่อาศัยสถานการณ์เลวร้ายมาบดบังการกระทำอยากมีอยากได้ รู้สึกกังวลกับคนหลายๆ คน ในอนาคตที่กำลังเดินเส้นทาง "ผู้ให้" ที่จะต้องมุ่งมั่นอีกนานสักเท่าใด จึงจะแก้ปัญหานี้ได้ ผู้ให้เหล่านั้นจะท้อถอยเสียก่อนหรือไม่ ผมเคยพูดคุยกับนักต่อสู้ หลายคนบอกกับปากผมเองเลยว่า บางครั้งตัวเขาคิดเลยว่า เขาเป็นคนโง่ บ้าทำเพื่อคนอื่น และก็ถูกหักหลังต่อความรู้สึกดีๆ รวมทั้งแรงกาย แรงใจที่ทุ่มเทให้กับผู้ประสบภัย หรือกรณีผมคือ ผู้ด้อยโอกาส "ผู้ให้" มักถูกตั้งคำถามเสมอว่า ทำไมถึงมาทำ มีผลประโยชน์ใช่ไหม ถ้าผู้ให้ไม่มีความมานะ ความเพียร แรงบันดาลใจ กำลังใจ ความมุ่งมั่น ผู้ให้จะล้มหายตายจากไปเอง
จุดสำคัญคือ "เหยื่อ" ซึ่งความหมายของผม คือ "เกษตรกร และคนพิการ" ตกอยู่ในกลลวง วังวนของ "การเป็นผู้รับ" แบบหยั่งรากลึก เป็นวัฒนธรรมในสังคมไทยไปแล้ว และคนทั้ง 2 กลุ่มนี้ ถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการสร้างผลประโยชน์ให้ "ผู้กอบโกย" โดยชอบธรรม อย่างเต็มใจ ต้องมี "ผู้ให้ ผู้อุทิศ" อีกมากเท่าไหร่ จึงจะสามารถต่อสู้กับผู้กอบโกย ที่ใช้อำนาจโดยชอบธรรมในมือได้

ส่วนตัวยังพอมีแรงอยู่ จะทำเท่าที่ยังมีสติปัญญา กำลังใจ แรงบันดาลใจ ที่สั่งสมมา และบางสิ่งบางอยู่ที่ถูกกำหนดมาว่า เรื่องบางเรื่องผมอยากทำ ยิ่งมีแรงเสียดทานยิ่งต้องทำ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำ ไม่อยากตอบว่าเพื่อคนเหล่านั้น มันดูสวยหรูเกินไป เพียงแต่เมื่อไหร่ที่ผมได้พบเจอ พูดคุย กับคนที่สามารถหลุดอออกจาก "กับดัก" ออกมาได้ ผมจะมีกำลังใจมากมายมหาศาลทุกครั้ง แม้เพียง 1 คน ในบางช่วงเวลา มันเป็นน้ำทิพย์ชั้นดีให้ผม และผมยังหวังว่า จะได้รับเพิ่มมากขึ้นเรื่อง เท่าที่ผมจะยังมีเวลาเหลืออยู่ครับ