Showing posts with label คนพิการ. Show all posts
Showing posts with label คนพิการ. Show all posts

249: บริจาคของใช้ส่วนตัวผ่านเครือข่ายสร้างสุขเพื่อนร่วมโลกไปให้กับคนพิการ จังหวัดนนทบุรี เมื่อ 27 เม.ย.63 (ช่วงไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด)

สวัสดีครับทุกท่าน หลังจากครอบครัวเราทราบว่า คุณเทพฤทธิ์ ศรีคงรักษ์ เครือข่ายสร้างสุขเพื่อเพื่อนร่วมโลก ได้รวบรวมสิ่งของอุปโภคบริโภคเพื่อนำไปบริจาคให้กับคนพิการในจังหวัดนนทบุรี ในส่วนของภรรยาได้บริจาคสินค้าในร้านบ้านอร่อย ๒๕ ไปแล้ว เราจึงคุยกันในครอบครัวเพื่อนำสิ่งของส่วนตัวร่วมบริจาคเพิ่ม เช่น แผ่นรองซับ กระดาษทิชชู่ น้ำดื่ม เพราะว่าที่บ้านมีสต๊อกสำรองไว้ สิ่งของเหล่านี้มีความจำเป็นกับคนพิการ ผมเป็นคนพิการรุนแรงจะเข้าใจเรื่องนี้

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จได้ คือครอบครัวก็ต้องเต็มใจด้วยนะครับ ภรรยาโอเคกับการบริจาคครั้งนี้ จึงรีบโทรแจ้งให้คุณเทพฤทธิ์ ศรีคงรักษ์ มาแต่เช้ารับของไปเพิ่มกับสิ่งของเดิมที่มีอยู่ จากนั้นคุณเทพฤทธิ์ ก็รีบนำสิ่งของทั้งหมดไปที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ นนทบุรี เพื่อให้นำไปบริจาคกับครอบครัวคนพิการในจังหวัดนนทบุรี ต่อไปครับ

การบริจาคในครั้งนี้นั้น

  • ริเริ่มโดยคุณเทพฤทธิ์ ศรีคงรักษ์ ปธ.เครือข่ายสร้างสุขเพื่อเพื่อนร่วมโลก ที่ได้รับบริจาคมาจากญาติธรรม
  • สมทบสินค้าจากร้านบ้านอร่อย ๒๕
  • สมทบสิ่งของส่วนตัวจากครอบครัวลิ้มนนทกุล
  • ประสานงาน อบต.คลองพระอุดม สมทบ และลงพื้นที่โดย คณะอาจารย์และเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ นนทบุรี
  • ประสานงานผู้รับบริจาค คนพิการและครอบครัว โดย อบต.คลองพระอุดม













คุณเทพฤทธิ์ ศรีคงรักษ์ มีสิ่งของในรถเต็มรถ ครอบครัวเราเติมเข้าไปอีกนิดครับ
ส่วนตัวผมชอบการร่วมบริจาคครั้งนี้มากครับ เพราะส่วนตัวผมกับคุณเทพฤทธิ์ และครอบครัวผมก็ไม่ได้ไปร่วมบริจาค ซึ่งเหมือนเราปิดทองหลังพระ แต่ทางคณะอาจารย์ของ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ นนทบุรี กลับดำเนินการประสานงานให้เราทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่ธุระของตนเอง เรียกว่าต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือกัน เพราะตัวผมเองก็ยุ่งมากๆ ครับ ต้องไปกับคุณเทพฤทธิ์ ทั้งไปรายงานตัวกับสำนักงานคุมประพฤติ และต้องเดินทางไปศาลแพ่ง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ครับ


151: คำถามที่ตัวผมมักรู้จากคนที่ไม่ได้ถามเอง เมื่อ 6 เมษายน 2557

สวัสดีครับเพื่อนๆ สำหรับบทความตอนนี้ จากหีวเรื่องผมคิดว่า ผู้อ่านส่วนใหญ่ต้องเคยมีประสบการณ์แน่นอน เนื่องจากเรามักได้ยินคำถามจากคนที่ไม่ใช่คนตั้งคำถาม แต่อาจจะมาจากเพื่อนของเราที่รู้มา แล้วมาบอก หรืออาจจะเกิดเหตุการณ์ตั้งใจฝากมาถาม เลยเสียก็เยอะ และที่มีความคิดจะพิมพ์บทความนี้ก็เพราะว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องคิดเยอะมาก ทั้งเรื่องงานที่กำลังส่อเค้าว่า จะหยุดไม่อยู่ แบบที่ตัวผมเองยังตื่นเต้น น่าระทึกใจมาก แน่นอนว่าเมื่อเริ่มก็จะนำมาแบ่งปันกันเหมือนเดิม รวมถึงเรื่องที่กำลังทำอยู่ แล้วต้องคิดทบทวนมากมาย ซึ่งรวมถึงผู้คนหลากหลายที่มาเกี่ยวข้องมากมาย อีกทั้งเรื่องสำคัญอีกเรื่องในชีวิตที่ต้องทำวิทยานิพนธ์จบปริญญาโท ผมเปรียบเทียบเอาเองให้ตรงกับฤดูกาลที่กำลังดำเนินอยู่ นั่นคือ ชีวิตผมเหมือนอยู่ในฤดูพายุฤดูร้อน เลยครับ

ขอนำภาพนี้มาประกอบการพิมพ์บทความตอนนี้ เพราะอากัปกิริยานี้
ค่อนข้างตรงกับตัวเองเมื่อต้องคิดมากๆ คือ การประสานมือกัน และ
ดัดนิ้วไปด้วยควบคู่การทำกายภาพบำบัด ให้ตรงคอนเซ็ปต์ทำ 1 ได้ 2 ครับ

วันนี้ผมใช้เวลาคุยโทรศัพท์กับคนหลายคนเหมือนเช่นทุกวัน แม้ว่าจะเป็นวันอาทิตย์ เป็นอย่างนี้ละครับ สำหรับผมวินาทีนี้ไม่มีวันหยุด (เอ....แต่จริงๆ ก็หยุดมา 4 วันนะครับ พอดีเป็นไข้หวัดหนัก แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไอ คันคอ ร้อนมาก เหมือนข้างในร้อนไปหมด มีไข้ งง... เพราะไม่ได้เป็นมานาน) มี 1 คนที่ผมใช้เวลาคุย 1 ชม. ครึ่ง จึงอยากนำมาแบ่งปัน แต่คงไม่ได้แบ่งปันที่เนื้อหา ผมอยากแบ่งปันเรื่องความรู้สึกมากกว่า

สิ่งที่ผมได้จากการพูดคุยนั้นสำหรับผมแล้วมีคุณค่ามาก แม้ว่าผมจะคุยกับคนที่มีอายุน้อยกว่าหรือมากกว่าก็ตาม สิ่งแรกที่ผมได้ คือ เราได้เรียนรู้คนๆ นั้น มากขึ้นๆ และแน่นอนว่าการคุยทุกครั้งจะต้องมีเรื่องราวในการพูดคุย ทำให้เราได้เรียนรู้กับสิ่งใหม่ เช่น ปัญหาใหม่ๆ ที่ต้องแก้ไขร่วมกัน หรือบางสิ่งที่ผมอาจไม่เคยรู้มาก่อน หรือความลับ หรือความต่างทุกต่าง

ผมอยากแบ่งปัน 2 เรื่องครับ
  1. คือ ความรู้สึกที่ผมได้รับมาตลอดที่ดำเนินชีวิตหลังจากที่พิการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมีคนมากมายรู้สึกต่อผม หรือที่ผมรู้สึกต่อหลายๆ คน สิ่งสำคัญที่สุด คือ ผมต้องระลึกตลอดเวลาว่า ผมกำลังทำสิ่งใดอยู่ และยังคงต้องมุ่งมั่นที่จะฝ่าแรงเสียดทานบางอย่างต่อไป ความรู้สึกนี้มีกับตัวเองทุกวินาที ไม่เคยรู้สึกท้อ คอยบอกตัวเองว่า "เวลา" จะเป็นสิ่งสำคัญ การพิสูจน์บางสิ่งบางอย่าง ผมอยากแบ่งปันเพื่อนๆ ว่า บางครั้งเราอาจถูกมองว่า หัวแข็ง ดื้อ ไม่ฟังใคร แข็งกระด้าง ไร้ความรู้สึก เยือกเย็น หรืออาจะถูดตำหนิว่า ใจร้าย โหดร้าย ทำร้ายความรู้สึกหลายๆ คน ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่เป็นนักคิด นักต่อสู่ ต้องประสบพบเจอกับคำเขียนต่างๆ ที่ผมแบ่งปันแน่นอน ท้ายที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป ผมจะภูมิใจ ดีใจ ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับคนเดิมๆ ที่มีความคิดเปลี่ยนไป หรือเข้าใจในสิ่งที่เราทำ แน่นอนว่า หากมีใครสักคน หรืออาจจะเป็นกลุ่มคน ที่เดินมาหาเราแล้วบอกว่า พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่เราทำ ผมก็ยิ่งมีความสุขอย่างที่ไม่สามารถจะมีคำพูดใดมาเปรียบ เพราะบางครั้งคนใกล้ตัวอาจไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น สำหรับความรู้สึกแรกนี้ ผมอยากให้กำลังใจกับคนที่กำลังคิดทำสิ่งดีๆ บางครั้งอาจบอกใครไม่ได้ด้วยอีกต่างหาก คุณไม่ได้ต่อสู้อยู่คนเดียว ยังมีคนอีกจำนวนมากในโลกนี้ที่ทำอย่างคุณ อย่างน้อยก็มีผมหนึ่งคน ครับ
  2. สำหรับข้อ 2 อยากรวมๆ ถึงความรู้สึกที่มีต่อคน 2 กลุ่ม ที่ไม่น่าเชื่อว่ามีความคล้ายคลึงกันมาก หากมองเป็นภาพใหญ่ในทรรศนะของผม คือ ความมี และเป็นไป ในวุฒิภาวะ ของเกษตรกรไทยกับคนพิการ ซึ่งทั้ง 2 กลุ่ม ผมได้ทำงานในส่วนเข้าไปร่วมแก้ปัญหาให้ แต่กลับพบว่า คนทั้งสองกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่คิดถึงแต่ตัวเอง น่าเป็นห่วงอย่างมาก ความต้องการรับฝ่ายเดียวฝังรากลึก ไม่มองคนอื่น มองแต่สิ่งที่ตัวเองจะได้ ใครให้มากกว่า ไม่มองคุณค่าที่มีทั้งน้อยและมากจากผู้ช่วยเหลือ ซึ่งเรื่องนี้ผมเห็นภาพชัดเจนมาแล้วจากมหาอุทกภัยใหญ่ ปี 54 ณ ตอนนั้นผมแลผมคิดว่ามีคนจำนวนมาก โดยเฉพาะเหล่าอาสา ที่บริสุทธิ์ใจ ที่ลงพื้นที่ จะชินตากับความโลภของคนที่อาศัยสถานการณ์เลวร้ายมาบดบังการกระทำอยากมีอยากได้ รู้สึกกังวลกับคนหลายๆ คน ในอนาคตที่กำลังเดินเส้นทาง "ผู้ให้" ที่จะต้องมุ่งมั่นอีกนานสักเท่าใด จึงจะแก้ปัญหานี้ได้ ผู้ให้เหล่านั้นจะท้อถอยเสียก่อนหรือไม่ ผมเคยพูดคุยกับนักต่อสู้ หลายคนบอกกับปากผมเองเลยว่า บางครั้งตัวเขาคิดเลยว่า เขาเป็นคนโง่ บ้าทำเพื่อคนอื่น และก็ถูกหักหลังต่อความรู้สึกดีๆ รวมทั้งแรงกาย แรงใจที่ทุ่มเทให้กับผู้ประสบภัย หรือกรณีผมคือ ผู้ด้อยโอกาส "ผู้ให้" มักถูกตั้งคำถามเสมอว่า ทำไมถึงมาทำ มีผลประโยชน์ใช่ไหม ถ้าผู้ให้ไม่มีความมานะ ความเพียร แรงบันดาลใจ กำลังใจ ความมุ่งมั่น ผู้ให้จะล้มหายตายจากไปเอง
จุดสำคัญคือ "เหยื่อ" ซึ่งความหมายของผม คือ "เกษตรกร และคนพิการ" ตกอยู่ในกลลวง วังวนของ "การเป็นผู้รับ" แบบหยั่งรากลึก เป็นวัฒนธรรมในสังคมไทยไปแล้ว และคนทั้ง 2 กลุ่มนี้ ถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการสร้างผลประโยชน์ให้ "ผู้กอบโกย" โดยชอบธรรม อย่างเต็มใจ ต้องมี "ผู้ให้ ผู้อุทิศ" อีกมากเท่าไหร่ จึงจะสามารถต่อสู้กับผู้กอบโกย ที่ใช้อำนาจโดยชอบธรรมในมือได้

ส่วนตัวยังพอมีแรงอยู่ จะทำเท่าที่ยังมีสติปัญญา กำลังใจ แรงบันดาลใจ ที่สั่งสมมา และบางสิ่งบางอยู่ที่ถูกกำหนดมาว่า เรื่องบางเรื่องผมอยากทำ ยิ่งมีแรงเสียดทานยิ่งต้องทำ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำ ไม่อยากตอบว่าเพื่อคนเหล่านั้น มันดูสวยหรูเกินไป เพียงแต่เมื่อไหร่ที่ผมได้พบเจอ พูดคุย กับคนที่สามารถหลุดอออกจาก "กับดัก" ออกมาได้ ผมจะมีกำลังใจมากมายมหาศาลทุกครั้ง แม้เพียง 1 คน ในบางช่วงเวลา มันเป็นน้ำทิพย์ชั้นดีให้ผม และผมยังหวังว่า จะได้รับเพิ่มมากขึ้นเรื่อง เท่าที่ผมจะยังมีเวลาเหลืออยู่ครับ

136 : ฟังข่าว "สวดมนต์ข้ามปี 2555-2556" จากรายการผู้หญิงถึงผู้หญิง แล้วปลื้มแทนน้องๆ คนพิการ

สวัสดีครับเพื่อนๆ การเขียนบทความของผมหายไปพักใหญ่ หายไปพร้อมๆ กับที่ต้องเริ่มเรียนปริญญาโทสถาปัตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต เทอมแรก ที่ ม.กรุงเทพ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมก็มีความสุขมากกับโอกาสที่ได้รับทุนจาก ม.กรุงเทพ โดยตั้งใจนำความรู้ที่ได้ไปทำประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป / วันนี้ 27 ธันวาคม 2555 ขณะกำลังนั่งดูรายการ "ผู้หญิงถึงผู้หญิง" พิธีกรได้พูดถึงการสวดมนต์ข้ามปี ที่ปีใหม่ 2556 นี้คาดว่าจะมีคนเข้าวัดถึง 30 ล้านคน

ในใจคิดไปต่อว่า ถ้ามีคนเข้าวัดถึง 30 ล้านคนจริง จะเยี่ยมมาก เหมือนการเข้าวัดสวดมนต์ข้ามปีนั้น อินเทรน คือเป็นเรื่องฮิต นิยมกันในช่วงคืนข้ามปี สูสีกับการนับ Countdown แบบของ
ฝรั่ง เพียงแต่ของเราเป็น Countdown ในใจ สงบ นิ่ง พร้อมต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามาในชีวิต

ในใจนึกต่อไปอีกว่า รู้สึกขอบคุณพี่เอ๋อ ปรเมศวร์ มินศิริ (กระปุกดอทคอม) ซึ่งเป็นผู้นำสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตของผม ผมได้มีโอกาสร่วมงานอาสาช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมปี 2553 กับพี่เอ๋อ ต่อมาพี่เอ๋อก็ชวนให้ผมกับน้องๆ คนพิการที่เป็นอาสาช่วยกันที่บ้าน มาแว๊บช่วยกันโทรถามตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศว่าวัดไหนที่มีกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีบ้าง แล้วก็รีบส่งข้อมูลเข้าส่วนกลาง ทำต่อเนื่องจนน้ำท่วม 2554 และสวดมนต์ข้ามปี 2554 เราส่งข้อมูลวัดเฉพาะในประเทศที่มีกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีได้เพิ่มจากปี 2553-2554 อีกเกือบพันแห่ง

หากว่าปีใหม่นี้ 2556 มีคนเข้าวัดมากขึ้นกว่าเดิม และหากว่ากิจกรรมนี้กลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ ซึ่ง สสส. ประกาศว่าเป็นปีที่ 3 ที่มีการรณรงค์ แม้ว่าบางวัดจะจัดมามากกว่า 50 ปีแล้วก็ตาม จากข้อมูลที่เราเคยพูดคุยสอบถามมาก็ตาม ผมก็ขออนุโมทนาจิตอันเป็นกุศลของน้องๆ คนพิการ+ครอบครัว คุณปรเมศวร์+ครอบครัว และผู้เกี่ยวข้อง ได้รับอานิสงฆ์ จากผมกรรมดีนี้ ให้มีสุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งใดได้ทำตามคิด สามารถแก้ไขอุปสรรคได้อย่างราบรื่น และสำเร็จทุกประการด้วยครับ

ข้อมูลสำหรับการสวดมนต์ข้ามปี ตามลิงก์ข้างล่างนะครับ




พิมพ์เมื่อ 28 ธันวาคม 2555

124 : ประทับใจกับคนพิการ จ.ชัยนาท ที่มีความพิการเป็นเพียงข้อจำกัดเท่านั้น เพราะเขาทำนาข้าว 109 ไร่เป็นงานอดิเรก

สวัสดีครับเพื่อนๆ สำหรับบทความนี้อยากบอกความรู้สึกดีๆ เล่าสู่กันฟัง ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันนะครับ ผมทำงานด้านพัฒนาอาชีพคนพิการมาหลายปี น้อยครั้งที่จะได้พบกับคนพิการ ที่เรารู้สึกว่า "ใช่เลย" พี่จำนงค์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ผมมีความรู้สึกนั้น "ใช่เลย" สำหรับผมนั้น คือ คนพิการที่พิการแต่ร่างกาย หัวใจ สีหน้า ดววงตา ความรู้สึกนั้น คือ คนที่มีความพิการมาเป็นอุปสรรคเท่านั้น ความพิการเป็นเหมือนเพียงแค่โจทย์ของชีวิต ที่เมื่อสามารถแก้ไขโจทย์ความพิการได้เลย ก็ฉลุยเลย 

พี่จำนงค์ บอกกับเราว่า ทำนาเป็นงานอดิเรก อาชีพหลักคือเลี้ยงเป็ด มุมมนี้สะท้อนเรื่องผลผลิตของเกษตรกรได้เป็นอย่างดี ว่าทำไมพี่จำนงค์ ถึงทำนาเป็นงานอดิเรก แต่ผมอยากบอกเพื่อนๆ ก่อนว่า ที่ว่าทำเป็นงานอดิเรกนั้น พี่จำนงค์ทำถึง 109 ไร่นะครับ ก่อนมาเจอพี่จำนงค์ผมเคยคิดบนกระดาษว่า หากนำเอาเกษตรอินทรีย์มาใช้กับการปลูกข้าวแล้ว หากคิดที่เหลือกำไรหักจากค่าใช้จ่าย ซึ่งมองที่ไม่มีการจำนำ หรือประกันราคาข้าวนะครับ จะต้องเหลือเงินไร่ละ 6,000 บาท ขึ้นไป หากทำ 100 ไร่ ก็ต้องเหลือเงิน 600,000 บาท ผมคิดว่า 

ถ้าเป็นยอดเงินนี้ พี่จำนงค์ต้องไม่คิดว่าเป็นงานอดิเรกแน่นอน แต่พี่จำนงค์ก็ต้องคิดอย่างนี้นะครับ เนื่องจากพี่จำนงค์ทำผลผลิตได้เพียง 50 ถังต่อ 1 ไร่เท่านั้นเอง ผมคิดว่านี่คือเหตุผลสำคัญของความคิดที่ว่า "ทำนาข้าวเป็นงานอดิเรก" เนื่องจากที่ดินดังกล่าวทั้ง 109 ไร่นั้นอยู่ใกล้ฟาร์มเป็ดไร่ทุ่งของพี่เขา ดังนั้นสำหรับการเข้าร่วมโครงการถุงยังชีพถาวรฯ 1,700 ไร่ของพี่จำนงค์ ที่เราให้พิเศษ 50 ไร่ด้วยนั้น เราตั้งเป้าหมายให้เกษตรกรทั้งหมดมีผลผลิตขั้นต่ำไร่ละ 100 ถังขึ้นไป



พี่จำนงค์ตัดสินใจเอาที่นาที่เช่ามาด้วยการแลกกับข้าวครั้งละ ไร่ละ 20 ถัง จำนวน 53 ไร่มาทดลองวิถีเกษตรอินทรีย์กับโครงการถุงยังชีพฯ ของพวกเราเหล่าอาสาช่วยเหลือผู้ประสบภัย ส่วนอีก 56 ไร่นั้น จะใช้วิธีการทางเคมีปกติ ซึ่งก็แน่นอนว่าจะได้ไร่ละ 50 ถังเช่นเดิม เพราะพี่จำนงค์ทำนาข้าวมาแล้วถึง 25 ปี ส่วนตัวหากเก็บเกี่ยวแล้ว อยากมาฟังจากพี่จำนงค์อีกครั้งว่า ยังเป็นงานอดิเรกอยู่อีกไหม พอจะเขยิบฐานะได้บ้างรึเปล่า



ผมอยากให้เรื่องราวของพี่จำนงค์ เป็นตัวอย่างของคนที่เดิมเคยเป็นคนปกติมาก่อน เมื่อมาพิการแล้ว ใช้เวลาปรับตัว ปรับใจ ประมาณ 1 ปี จึงเริ่มกลับมาทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว ภรรยาน่ารักมากครับ ผมไม่ได้หมายถึงน่าตานะครับ ผมหมายถึงในหัวใจนะครับ ที่ยังคงดูแลซึ่งกันและกันอยู่ ผมลืมเล่าถึงความพิการของพี่เขาเลยครับ พี่จำนงค์ขาขาดทั้ง 2 ข้าง ข้างขวาขาดเหนือหัวเข่าแต่เนื้อนั้นดูรู้เลยว่าหายไปเยอะมากครับ ส่วนข้างซ้ายขาดถึงต้นขาติดกับช่วงสะโพกเลยครับ เราก็เลยแลกเปลี่ยนเล่าความพิการให้ฟังกันแป๊บเดียวไม่นานครับ แต่เราสนใจว่าพี่เขาทำนาอย่างไรมากกว่า อาจจะบวกกับอายุที่มากขึ้นด้วย ที่พี่เขาไม่ลงไปลุยให้เลอะเทอะแล้ว พวกเราสรุปกันไปเรียบร้อยแล้วว่า พี่จำนงค์เป็นักการจัดการ คือ บริหารการทำฟาร์มเป็ด และนาข้าว ไปแล้ว ใช้การจ้างคน และเช่าเครื่องจักรเป็นหลักครับ ซึ่งผมคิดว่าก่อนจะบริหารได้ ก็ต้องผ่านประสบการณ์จริงมาก่อน





เราคุยกันอยู่นานพักใหญ่ วันนี้ผม พี่หนุ่ม พี่ดวงพร เราไปกันมาหลายที่ ตาคลี-นครสวรรค์ วัดเขาเต่าดำ-ชัยนาท ศูนย์พันธุ์ข้าวดักคะนนท์-ชัยนาท จึงมาเยี่ยมพี่จำนงค์จนเย็น เรากำลังจะไป อ.สรรพยาอีกเพื่อไปเยี่ยมเกษตรกรอีก 2 คนครับ ก่อนจะมืดพวกเราเลยลาพี่จำนงค์ แต่เรื่องพี่จำนงคยังไม่จบ พวกเรา 3 คน พูดคุยถึงเรื่องพี่จำนงค์ ต่อกันในรถว่า พวกเรามีความสุขที่มาเยี่ยมพี่เขา พวกเราอยากเห็นคนพิการที่เป็นแบบนี้ คือ ความพิการเป็นเพียงข้อจำกัด ที่ต้องผ่านไปให้ได้ เรื่องอื่นก็ดำรงชีวิตแบบคนอื่นทั่วไป





พอมาถึงที่พักของพี่จำนงค์เพื่อเอาสารอาหารพืชอินทรีย์ ให้จำนวน 5 ชุด ซึ่งแต่ละชุดให้กับนาข้าว 10 ไร่ เป็นจำนวน 10 ขวดนั้น พี่จำนงค์ก็ถามถึงค่าใช้จ่าย ที่ท้ายที่สุดแล้ว พี่เขาก็เข้าใจทั้งความคุ้มค่าที่ใช้เกษตรอินทรีย์ และการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกร ที่จะเป็นกำลังสำคัญของ ต.ธรรมามูล ต่อไป

ก่อนจะจบบทความ อยากสื่อความรู้สึกสำคัญอรกเรื่องให้เพื่อนๆ ได้ทำความเข้าใจร่วมกัน พี่จำนงค์เล่าให้พวกเราฟังว่า ในช่วงต้นของชีวิตหลังมีความพิการเป็นเพื่อนตายแล้วนั้น ใครไปไหน พี่เขาไปด้วย ใครทำอะไร พี่เขาทำด้วย ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญ คือพี่จำนงค์ไม่หดหู่ ไม่ปิดกันตัวเองทั้งสภาพจิตใจ และการหาประสบการณ์ หากคนพิการหกตัวอยู่กับบ้าน เก็บตัว ปิดใจ กับอีกคนพยายามออกนอกบ้าน เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทุกอย่างที่เหลืออยู่ ย่อมเป็นเหมือนพี่จำนงค์ ที่จะยอมรับตัวเอง เข้าใจความพิการ และใช้ร่างกายที่เหลืออยู่กับปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้า อย่างมีค่า มีความหมาย

ผมอยากฝากข้อคิดนี้ไว้ให้กับเพื่อนๆ ทั้งพิการ และไม่พิการ หรือคนที่มีข้อจำกัดมากหรือน้อย ได้มีอิสระทางความคิด ผ่านอุปสรรคต่างๆ ตามข้อกำหนดของชีวิตแต่ละคนนะครับ อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับใคร เรื่องราวของพี่จำนงค์ สามารถนำมาคิดถึงได้ตลอดเวลานะครับ หากเพื่อนๆ ต้องการให้เวลากับตัวเอง เพื่อจะผ่านอุปสรรคสำคัญๆ ที่คิดว่ายาก หรือหาทางออกลำบาก ครับ

พิมพ์เมื่อ 15 พฤษภาคม 2555