เลขที่ตอนมัธยม (14) : คิดบวก เมื่อยังต้องเป็นพนักงาน

สวัสดีครับ ทุกคน บทความนี้ผมตั้งใจเขียนให้ผู้อ่านบ้างท่านที่กำลังทำงานเป็นลูกจ้าง หรือพนักงานอยู่ ทั้งที่จบใหม่ และกำลังทำงานอยู่ ได้มีโอกาสมอง มุมมองของผมที่มีต่อการทำงานในอดีตครับ

ก่อนหน้านี้ ก่อนรถคว่ำ ผมยังคงเป็น Sale Engineer ทำงานที่บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ( Berli Jucker Public Co. Ltd.) แถวสุขุมวิท 42 ดูแลสินค้าเกี่ยวกับเครื่องชั่งรถบบรทุก (Truck Scale)
ทุกคนสามารถอ่านประวัติคร่าวๆ ของผมได้ที่ บทความนี้ และก็จะทราบว่า ผมเข้ามาทำงานที่ Berli Jucker หรือ BJC เป็นรอบที่ 2 ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราผมเคยออกมาแล้วครั้งหนึ่ง (เป็นการขอลาออกเอง)

เขียนมาถึงตรงนี้ ผมต้องขอขอบคุณบุคคล 3 คนที่ช่วยผลักดันให้ผมได้กลับมาทำงานที่ BJC ในรอบ 2 นี้จนสำเร็จ คือ บอย-นิตินัย (เพื่อนในที่ทำงาน ที่อยู่ทำงานให้ทาง BJC มาตลอด) คุณไพศาลที่ขณะนั้นเป็นผู้จัดการของบอย และอาจารย์ธีระ ซึ่งเคยเป็นผู้จัดการเก่าของผม ขณะนั้นท่านคุมอีกแผนกหนึ่ง

ครั้งแรกนั้นผมทำงานที่นี่ (ซึ่งผมก็ตั้งใจทำงานทุกที่เหมือนกันหมด) ผมใช้เวลาศึกษางานในส่วนที่เกี่ยวข้อง นอกเวลางาน ถึง 2-3 ทุ่มเป็นประจำ เสาร์-อาทิตย์ถ้ามีงานที่ต้องทำเอง เช่นพบลูกค้า หรือการเตรียมงาน ก็จะทำอย่างเต็มใจ เพราะเราเป็นนายของตัวเอง ชอบที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอด

หลังจากออกไปแล้ว เคยช่วยแสดงความคิดเห็นกับงานที่ BJC หลายครั้ง เพราะเป็นงานเก่าที่เป็น project ของผม ผมรัก BJC ที่เปรียบเสมือนโรงเรียน ให้ความรู้ด้านการทำงานแทบทุกด้าน เช่น งานด้านการตลาด การขาย เกี่ยวกับเอกสารสำคัญ การคิดต้นทุน บัญชี การนำเข้า การประสานงาน เป็นต้น

และจากการทำงานทุกๆ ที่ทั้ง 9 แห่ง
(บทความเก่า เกี่ยวกับประวัติส่วนตัว) ปัจจุบันนี้ ผมนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด เพราะผมตั้งใจศึกษางานทุกที่อย่างเต็มที่ทุกแห่ง

มนุษย์เราไม่ทราบอนาคต ดังนั้น การเตรียมตัว หมายถึงการทำงานอย่างเต็มที่ ที่ผ่านมาของผม จึงเกิดประโยชน์สูงสุดในปัจจุบัน ที่ผมเป็นผู้ทุพพลภาพอยู่.........ที่ผมต้องเกริ่นนำมาซะยาวขนาดนี้ ก็เพราะจะนำเสนอมุมมองของผม ที่ผมได้มีโอกาสอธิบายให้น้องคนหนึ่งฟังทางโทรศัพท์ ซึ่งก็คุยหลายเรื่องจนถึง...

ผมอยากให้มองว่า โดยปกติแล้ว ถ้าเราจะตั้งบริษัท ไม่อยากเป็นลูกน้องใคร แค่คิดแล้วลงมือ ก็ต้องเริ่มลงทุนแล้ว ตั้งแต่จดทะเบียนบริษัท ใช้เงิน 12,000-15,000 บาท (โดยประมาณ) ซื้อเฟอร์นิเจอร์-คอมพิวเตอร์ อาจต้องจ้างลูกน้องสัก 1 คน ตต้องเสียค่าน้ำ-ไฟฟ้า-โทรศัพท์ ทุกเดือน หรืออะไรๆ อีกหลายอย่าง ที่ผมไม่ได้กล่าวถึง สุดท้ายต้องต่อสู้กับ ความเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจ ที่อาจจะดี หรือไม่ดี สำเร็จ หรืออาจล้มเหลวก็ได้

ดังนั้น ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญมากๆ คือ " ประสบการณ์ " ผมจึงสรุปให้น้องได้มีมุมมองว่า ถ้าเราคิดในเชิงบวก การที่เราไปเป็นพนักงาน ไม่ว่าจะได้เงินมากหรือน้อยกว่าที่ตั้งใจก็ตาม ถือว่ากำไรแล้ว ได้ทั้งเงินเดือน ได้ทั้งโอกาสที่จะทดลองทำงานอย่างเต็มที่ ได้เรียนรู้โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินลงทุน เงินเดือนคือกำไร ที่เราไม่มีทางขาดทุนแน่นอน ไม่มีอะไรวิเศษไปกว่านี้อีกแล้ว

ต้องทุ่มเททำงานให้เหมือนกับบริษัท เป็นของเราเอง ถ้าทำได้อย่างนี้แล้ว เราจะได้ประโยชน์หลายทางพร้อมๆ กัน

- ได้ศึกษาเรียนรู้อย่างเต็มที่ ทำให้มีประสบการณ์มากกว่าคนอื่น ได้ใช้เวลาเต็มที่
- ทำให้มีผลงาน ผู้ใหญ่รัก มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
- บริษัทได้ประโยชน์เต็มที่ ประเทศชาติได้ประโยชน์จากการทำงานของเรา เราเป็นฟันเฟืองสำคัญในสังคม

มุมมองต่างๆ เหล่านี้ทำให้ผมเป็นคนคิดบวกในการทำงาน และดำรงชีวิต ผมหวังว่าบทความนี้ คงเป็นมุมเล็กๆ สำหรับบางคนที่อาจจะกำลังเบื่อหน่ายในงานที่กำลังทำอยู่ ก็อาจจะพอกระตุ้นให้กระตือรือล้นได้บ้างนะครับ

ขอบคุณครับ

ปรยา(ปรีดา ลิ้มนนทกุล )
mobile : 089-3263248
Tel. & Fax.: 02-9232724
email : preeda.limnontakul@gmail.com
email : preeda@gpaymentservice.com
website : http://www.gpaymentservice.com/
update : Aug 5, 2007